พระปิยมหาราช |
เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะมิให้ผู้ใดทราบว่าเสด็จฯไปที่ใดเป็นสำคัญ ทั้งเพื่อจะทอดพระเนตรเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรและการปฏิบัติหน้าที่ของราชการอย่างแท้จริง และเรียกการประพาสเช่นนี้ว่า “ประพาสต้น”
ประพาสต้น |
เจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ ลดาวัลย์ (ถึงแก่กรรมแล้ว) ได้ให้สัมภาษณ์หนังสืออนุสาร อ.ส.ท. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปีที่ 22 ฉบับที่ 9 เดือนเมษายน พ.ศ. 2525 ฉบับสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ว่า
“ชีวิตในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงตอนนั้น บ้านเมืองของเราก็เจริญรุ่งเรืองไปเรื่อยๆ แต่มันช้าๆ ไม่รวดเร็ววูบวาบเหมือนสมัยนี้ มันเป็นยุคสมัยที่เก่ากำลังจะไปและใหม่กำลังจะมา โดยเฉพาะเรื่องประชาธิปไตย พระองค์ท่านเป็นประชาธิปไตยที่สุด และเป็นผู้ทรงตั้งต้น แต่พระองค์ท่านทรงทำอย่างผู้ใหญ่ พระทัยเย็น ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ทีละเล็กละน้อย ไม่ได้เปลี่ยนกันอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ อย่างเลิกทาสนี่ท่านยังต้องทรงทำเป็นสิบๆ ปี ไม่ได้หักโหมพรวดพราด”
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการยกย่องจากประชาชนทั่วทุกแว่นแคว้นในพระปรีชาสามารถว่า ทรงเป็นนักปกครองและนักการทูตที่ยิ่งใหญ่ ทรงตัดสินพระทัยพัฒนางานด้านต่างๆ ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกล แม้ว่าการไหลเทของวัฒนธรรมตะวันตกจะเข้ามาคุกคามประเทศ แต่พระองค์ทรงยอมรับและทรงสร้างเป็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สยามประเทศก้าวสู่ความเจริญ ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ทรงใช้วิจารณญาณในการประยุกต์อารยธรรมตะวันตกมาผสมผสานให้กับสังคมไทยอย่างมีชั้นเชิง โดยยึดถือ “ประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง” ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปวงชนชาวไทยจึงน้อมเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญานาม “พระปิยมหาราช” ซึ่งแปลความหมายว่า “มหาราชผู้ทรงเป็นที่รัก”
หลังการเสด็จสู่สวรรคาลัยเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ได้ราว 17 ปี พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่องค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ได้ถือพระประสูติกาลในวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ขึ้น 12 ค่ำ ปีเถาะ “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช” พระโอรสองค์ที่ 3 ในหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) และสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระราชโอรสลำดับที่ 69 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และลำดับที่ 7 ในสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี
จากเจ้าชายพระองค์น้อย สู่ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช” สายพระโลหิตแห่งจักรีวงศ์ สายตรงขององค์พระปิยมหาราชที่หล่อเลี้ยงพระวรกาย นับแต่การเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 พระราชหฤทัยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา การแจ้งประจักษ์ในพระราชหัตถเลขาถึงพระสหายเมื่อครั้งที่ยังทรงศึกษาอยู่ในยุโรปตอนหนึ่งว่า
“…ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ โดยการทำงานที่นี่ว่า ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้ คือการอยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า นั่นคือ คนไทยทั้งปวง”
จึงปรากฏเป็นพระราชปณิธานสู่ปวงประชาราษฎร์ที่ว่า
ปฐมบรมราชโองการ |
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงถือเอาทุกข์สุขของราษฎรเป็นทุกข์สุขของพระองค์เสมอมา พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ อันเป็นประโยชน์แก่ปวงชนชาวไทยตลอดพระชนมายุของพระองค์ และพระราชกรณียกิจที่เป็นภาพความทรงจำของคนไทยทั้งประเทศ ภาพที่ไม่อาจลืมเลือนแม้จะผ่านไปนับร้อย นับพันปี ตราบสิ้นอายุขัย คือภาพการเสด็จพระราชดำเนินทุกพื้นที่บนแผ่นดินไทย การเสด็จฯออกจากพระราชวังที่เต็มไปด้วยความสมบูรณ์พร้อมไม่ต่างจากพระอัยกาธิราชเจ้า สู่การดำเนินพระองค์เยี่ยงสามัญ เพื่อเป้าหมายเพียงประการเดียวคือ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎร และเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของปวงประชาราษฎร์ทั้งสิ้น
หัวใจมหาราชาที่เปี่ยมไปด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล พระองค์มุ่งแก้ปัญหาราษฎรจากต้นเหตุ ทรงพระราชทานอาชีพ พระราชทานโอกาส พระราชทานแบบอย่าง และพระราชทานหัวใจที่มีพลังให้กับประชาชนทั้งประเทศ จนกล่าวได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช คือเอกราชา ผู้ทรงเปรียบเสมือน “พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย” ทรงพระปรีชาสามารถในทุกแขนงวิชา ทรงรักและห่วงใยพสกนิกร และแก้ไขปัญหาต่างๆ ทรงริเริ่มจัดตั้งมูลนิธิต่างๆ
ทรงค้นคว้า วิจัย การทำฝนเทียม ด้านการเกษตร การชลประทาน การสาธารณสุข และอื่นๆอีกมากมาย ทรงส่งเสริมความรักและสามัคคีให้เกิดในชาติ ทรงดูแลทุกข์สุขประชาชนตลอดพระชนมชีพของพระองค์ และทรงเป็นพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงงานหนักมากที่สุดของโลก
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ 2 มหาราชาผู้ยิ่งใหญ่ “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” และ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช” ได้ประทับความจงรักภักดีครองดวงใจคนไทยทั้งชาติมิเสื่อมคลาย
ตลอด 9 รัชกาลแห่งจักรีวงศ์ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ต่างล้วนทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่บ้านเมืองเป็นอันมาก มิว่าการเปลี่ยนผ่านของแต่ละแผ่นดินจะเป็นเช่นไร
แสดงความคิดเห็น